
ESG คืออะไร ทำไม ถึงสำคัญต่อธุรกิจ

ESG คืออะไร ทำไม ถึงสำคัญต่อธุรกิจ
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, and Governance ซึ่งหมายถึงการพิจารณาถึงปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental), สังคม (Social), และการกำกับดูแลกิจการ (Governance) ที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการตัดสินใจทางการลงทุนในปัจจุบัน แนวคิดนี้ได้รับความสำคัญเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะมันสะท้อนถึงการมองภาพรวมที่ไม่เพียงแต่การเงินของธุรกิจ แต่ยังรวมถึงผลกระทบที่ธุรกิจมีต่อโลกและสังคมโดยรอบ
การนำแนวคิด ESG มาประยุกต์ใช้ช่วยให้ธุรกิจ จะทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ, สิ่งแวดล้อม, และสังคม อีกทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ESG ไม่ใช่แค่แนวคิดทางทฤษฎี แต่เป็นสิ่งที่บริษัทต้องคำนึงถึงเพื่อความยั่งยืนและความเติบโตในระยะยาว โดยการปรับตัวให้เข้ากับกระแสของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่สามารถมองแค่ผลกำไรระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมถึงการกำกับดูแลที่มีความโปร่งใสและมีความรับผิดชอบ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้น วันนี้ connectbizs จะพาคุณไปทำความรู้จัก ความหมายและองค์ประกอบต่างๆ รวมถึงความสำคัญของ ESG ที่มีต่อธุรกิจ จะมีอะไรบ้าง และสามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจของคุณได้อย่างไร ไปดูกันเลยครับ

Environmental (สิ่งแวดล้อม)
สิ่งแวดล้อมในด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) คือ แนวทางในการประเมินผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งการพิจารณาในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น (Environmental) จะเกี่ยวข้องกับการจัดการและลดผลกระทบที่ธุรกิจมีต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความยั่งยืนและลดการทำลายสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้านของกิจกรรมธุรกิจ
ในแง่ของการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) จะเน้นไปที่การปฏิบัติตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตและบริการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดขยะ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของการดำเนินการที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ธุรกิจต้องทำการวางแผนเพื่อการลดการปล่อยก๊าซ CO2 และสารพิษอื่นๆ ที่เกิดจากการผลิตและการขนส่งสินค้า การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม เพื่อแทนที่การใช้พลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและถ่านหิน
2.การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำ, พลังงาน, และวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการประหยัดและการใช้ทรัพยากรในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการลดการใช้ทรัพยากรและลดของเสีย
3.การจัดการขยะและมลพิษ การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรีไซเคิล หรือการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงการลดมลพิษจากกระบวนการผลิต โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านมลพิษที่มีอยู่และเสริมสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืน
4.การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ธุรกิจต้องพิจารณาผลกระทบของกิจกรรมต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า หรือการใช้สารเคมีที่อาจทำลายสิ่งแวดล้อม ธุรกิจควรใช้วิธีที่ช่วยลดผลกระทบเหล่านี้
การปฏิบัติในด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีตามหลัก ESG ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว ลดความเสี่ยงจากการถูกลงโทษทางกฎหมายหรือความเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อม และยังสร้างผลประโยชน์ในแง่ของการประหยัดต้นทุนจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใส่ใจสิ่งแวดล้อมยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น การดำเนินธุรกิจที่มีการคำนึงถึง ESG จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาว.

Environmental (สิ่งแวดล้อม)
สิ่งแวดล้อมในด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) คือ แนวทางในการประเมินผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งการพิจารณาในด้านสิ่งแวดล้อมนั้น (Environmental) จะเกี่ยวข้องกับการจัดการและลดผลกระทบที่ธุรกิจมีต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมความยั่งยืนและลดการทำลายสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้านของกิจกรรมธุรกิจ
ในแง่ของการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) จะเน้นไปที่การปฏิบัติตามมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อมที่ดี รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตและบริการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดขยะ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของการดำเนินการที่สอดคล้องกับแนวทาง ESG ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่
1.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ธุรกิจต้องทำการวางแผนเพื่อการลดการปล่อยก๊าซ CO2 และสารพิษอื่นๆ ที่เกิดจากการผลิตและการขนส่งสินค้า การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม เพื่อแทนที่การใช้พลังงานฟอสซิล เช่น น้ำมันและถ่านหิน
2.การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น้ำ, พลังงาน, และวัตถุดิบในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการประหยัดและการใช้ทรัพยากรในระยะยาว รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการลดการใช้ทรัพยากรและลดของเสีย
3.การจัดการขยะและมลพิษ การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การรีไซเคิล หรือการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงการลดมลพิษจากกระบวนการผลิต โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านมลพิษที่มีอยู่และเสริมสร้างระบบการจัดการที่ยั่งยืน
4.การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ธุรกิจต้องพิจารณาผลกระทบของกิจกรรมต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า หรือการใช้สารเคมีที่อาจทำลายสิ่งแวดล้อม ธุรกิจควรใช้วิธีที่ช่วยลดผลกระทบเหล่านี้
การปฏิบัติในด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีตามหลัก ESG ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ แต่ยังส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว ลดความเสี่ยงจากการถูกลงโทษทางกฎหมายหรือความเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อม และยังสร้างผลประโยชน์ในแง่ของการประหยัดต้นทุนจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใส่ใจสิ่งแวดล้อมยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคและนักลงทุนให้ความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้น การดำเนินธุรกิจที่มีการคำนึงถึง ESG จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความมั่นคงให้กับองค์กรในระยะยาว.

Governance (การกำกับดูแล)
ในด้านการกำกับดูแล (Governance) ของ ESG (Environmental, Social, and Governance) การพิจารณาเรื่องการบริหารจัดการที่ดีและมีความโปร่งใสในองค์กรถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงนักลงทุน ลูกค้า และพนักงาน โดยมุ่งเน้นที่การตัดสินใจที่โปร่งใส การปฏิบัติตามกฎหมาย และการมีการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
การกำกับดูแลที่ดีใน ESG จะเกี่ยวข้องกับการสร้างโครงสร้างที่ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และสามารถตรวจสอบได้ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างยั่งยืน ตัวอย่างของการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลใน ESG ได้แก่
1.การสร้างความโปร่งใสในการบริหาร ธุรกิจที่ดีจะต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กร เช่น การเปิดเผยรายงานทางการเงินที่ถูกต้องและโปร่งใส, การเปิดเผยนโยบายทางการบริหาร และการรายงานการปฏิบัติตามหลัก ESG เพื่อลดความเสี่ยงจากการทุจริตและเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
2.การป้องกันการทุจริตและการคอร์รัปชัน ธุรกิจควรมีกฎระเบียบและแนวทางในการป้องกันการทุจริตหรือการคอร์รัปชันภายในองค์กร รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานให้ตระหนักถึงความสำคัญของจริยธรรมในการทำธุรกิจ การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการต่อต้านการคอร์รัปชัน และการสร้างระบบที่สามารถตรวจสอบการปฏิบัติได้
3.การมีคณะกรรมการที่มีคุณภาพและเป็นอิสระ การกำกับดูแลในองค์กรควรมีกลไกการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระ และสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ถูกครอบงำจากผลประโยชน์ภายนอก คณะกรรมการเหล่านี้ควรมีการตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทในการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับหลักการ ESG
4.การจัดการความเสี่ยงและความรับผิดชอบ ธุรกิจควรมีระบบในการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงทางการเงิน, การดำเนินงาน, หรือปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น และมีการกำหนดความรับผิดชอบในการตัดสินใจอย่างชัดเจน รวมถึงการตรวจสอบผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละด้านของ ESG
5.การกำหนดหลักจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ การมีหลักจริยธรรมและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในเรื่องการปฏิบัติทางธุรกิจ เช่น การทำธุรกรรมอย่างโปร่งใส การปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นและระหว่างประเทศ และการเคารพสิทธิของผู้บริโภคและพนักงาน
6.การมีการตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ การมีการตรวจสอบภายในและการตรวจสอบจากภายนอกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยในการระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจกระทบต่อองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกระบวนการและมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงไป
การปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลที่ดีภายใต้แนวทาง ESG ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทุจริตและปัญหาทางกฎหมาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความไว้วางใจจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสามารถเจริญเติบโตได้ในระยะยาว.
ทำไม ESG ถึงสำคัญต่อธุรกิจ?

1. การสร้างความยั่งยืนระยะยาว
การปฏิบัติตามหลัก ESG ช่วยส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว โดยไม่เพียงแค่เน้นผลกำไรในระยะสั้นเท่านั้น ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและมีการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมักจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและกฎหมายในระยะยาวน้อยกว่าธุรกิจที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ การดำเนินงานที่ดีตามหลัก ESG จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเผชิญกับปัญหาทางสิ่งแวดล้อมหรือข้อพิพาททางสังคมที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท
2. การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความไว้วางใจ
การปฏิบัติตามหลัก ESG ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร โดยเฉพาะในสายตาของผู้บริโภคและนักลงทุน ในยุคที่ผู้คนมีความตระหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ธุรกิจที่มุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อม, สังคม, และการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีจริยธรรมจะได้รับความไว้วางใจจากทั้งลูกค้าและนักลงทุน ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทที่มีจริยธรรมและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม การที่ธุรกิจดำเนินการตามหลัก ESG จึงสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มองหาสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอาจสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
3. การเพิ่มโอกาสทางการลงทุน
นักลงทุนในปัจจุบันมักจะมองหาธุรกิจที่มีการบริหารจัดการดีทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล เนื่องจากธุรกิจที่มีการปฏิบัติตามมาตรฐาน ESG มักจะมีความเสี่ยงต่ำในการลงทุน และมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน นักลงทุนจึงมองว่า ESG เป็นเกณฑ์สำคัญในการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนระยะยาว การให้ความสำคัญกับ ESG ช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงดูดนักลงทุนที่ใส่ใจในเรื่องของความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม (Socially Responsible Investment - SRI) หรือกลุ่มนักลงทุนที่มีมุมมองในระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายการลงทุนและการเข้าถึงทุนในตลาดได้ง่ายขึ้น
4. การลดความเสี่ยงและความเสียหายจากการละเมิดกฎหมาย
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแล (Governance) ที่ดีจะมีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับต่างๆ เช่น กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม, กฎหมายแรงงาน, และกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค การมีนโยบายที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ช่วยป้องกันการทุจริตและการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และสถานะทางการเงินของธุรกิจ การมีมาตรการป้องกันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงจากการฟ้องร้องหรือการถูกปรับในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างถูกต้อง
5. การสร้างแรงจูงใจและความผูกพันกับพนักงาน
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG โดยเฉพาะในด้านสังคม (Social) จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพนักงาน เช่น การมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม การให้โอกาสในการเติบโตในอาชีพอย่างเท่าเทียม และการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและแรงจูงใจในการทำงานให้กับพนักงาน นอกจากนี้ยังส่งผลให้ธุรกิจสามารถรักษาพนักงานที่มีคุณภาพและดึงดูดพนักงานที่มีความสามารถ
6. การตอบสนองต่อการคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เช่น ลูกค้า, นักลงทุน, พนักงาน, และชุมชน คาดหวังให้ธุรกิจดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะสามารถตอบสนองต่อความคาดหวังเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำธุรกิจที่มีความรับผิดชอบจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างธุรกิจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
7. การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
การประยุกต์ใช้หลัก ESG ในการดำเนินธุรกิจช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนากระบวนการต่างๆ ในการทำงาน เช่น การลดของเสีย การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร และการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมให้กับธุรกิจในระยะยาว การใส่ใจใน ESG จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนในยุคที่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมีความสำคัญมากขึ้น.
ภาพลักษณ์ของธุรกิจเมื่อทำ ESG
เมื่อธุรกิจดำเนินการตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) จะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจมีการพัฒนาในหลายด้าน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เช่น ลูกค้า นักลงทุน และสังคมโดยรวม ดังนี้
1. ธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจที่มุ่งเน้นการดำเนินงานอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าและชุมชนในฐานะองค์กรที่มีจิตสำนึกต่อการดูแลโลกใบนี้ ซึ่งสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ
ตัวอย่าง : บริษัทที่ใช้พลังงานสะอาด, ลดการปล่อยมลพิษ, หรือใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะสร้างความประทับใจและได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าและกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
2. ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมและสังคม
การมีนโยบายที่มุ่งเน้นความเสมอภาค ความหลากหลาย และการดูแลสวัสดิการของพนักงานจะทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและพนักงาน
ตัวอย่าง : การดำเนินโครงการช่วยเหลือชุมชน การสนับสนุนโครงการเพื่อการศึกษา หรือการดูแลสวัสดิการพนักงานที่ดี เช่น การรักษาความปลอดภัยในการทำงานหรือการให้โอกาสในความก้าวหน้าในอาชีพ
3. ธุรกิจที่มีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล
ธุรกิจที่มีกระบวนการกำกับดูแลที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาลจะได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและลูกค้า ซึ่งเชื่อว่าบริษัทสามารถจัดการความเสี่ยงและรักษาความยุติธรรมในการดำเนินธุรกิจได้
ตัวอย่าง : การมีคณะกรรมการที่เป็นอิสระ, การเปิดเผยข้อมูลทางการเงินอย่างโปร่งใส และการทำตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
4. ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของลูกค้า
ลูกค้าหลายคนในปัจจุบันมองหาบริษัทที่มีค่านิยมและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การที่บริษัทดำเนินการตามหลัก ESG จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีจากลูกค้า
ตัวอย่าง : ลูกค้าอาจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทที่มีการดำเนินการอย่างยั่งยืนและโปร่งใส เช่น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
5. การดึงดูดและรักษานักลงทุน
นักลงทุนในปัจจุบันมักจะสนับสนุนบริษัทที่มีการจัดการ ESG ที่ดี เพราะเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำกว่าและมีโอกาสเติบโตในระยะยาว การดำเนินงานที่ดีตามหลัก ESG จึงช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุน
ตัวอย่าง: บริษัทที่มีการรายงานข้อมูลด้าน ESG อย่างโปร่งใสและชัดเจนจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบ
6. ธุรกิจที่สามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคต
ธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ ESG จะสามารถจัดการกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือปัญหาสังคมได้ดีกว่า ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว และรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในสังคม
ตัวอย่าง: บริษัทที่มีกระบวนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะสามารถลดผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในอนาคต และยังได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นองค์กรที่ใส่ใจต่ออนาคตของโลก
บทสรุป

ความสำคัญของ ESG (Environmental, Social, Governance) ต่อธุรกิจในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและการเติบโตในระยะยาว โดยการนำหลัก ESG มาใช้ในการดำเนินธุรกิจไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นจากทั้งลูกค้า นักลงทุน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ
เมื่อธุรกิจให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม (Environmental) การลดผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินงานต่อโลก เช่น การใช้พลังงานสะอาด การลดการปล่อยมลพิษ หรือการส่งเสริมการรีไซเคิล จะไม่เพียงแต่ช่วยในการประหยัดต้นทุนในระยะยาว แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคที่มีความใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคมในปัจจุบันที่มีการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นมักจะให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สินค้าจากบริษัทที่มีการดำเนินการอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความนิยมและความภักดีของลูกค้า
ในด้าน สังคม (Social), การดูแลพนักงานและสังคมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ การมีนโยบายที่ส่งเสริมความเสมอภาค การป้องกันการเลือกปฏิบัติ และการดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานและชุมชนโดยรอบ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจสามารถดึงดูดและรักษาผู้มีความสามารถในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะองค์กรที่รับผิดชอบและเป็นมิตรกับสังคม
ด้าน การกำกับดูแล (Governance) เป็นอีกหนึ่งมิติที่สำคัญไม่แพ้กัน การมีการบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาลช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เมื่อธุรกิจมีการกำกับดูแลที่ดีและปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ อย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาทางกฎหมายและการทุจริต ซึ่งสามารถสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้กับธุรกิจได้ นอกจากนี้การมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสยังช่วยสร้างความไว้วางใจจากนักลงทุนและผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีโอกาสในการดึงดูดการลงทุนและเพิ่มมูลค่าของธุรกิจได้
เมื่อธุรกิจดำเนินการตามหลัก ESG จะสามารถเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านต่างๆ ทั้งในแง่ของการมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าและนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ยั่งยืน ในขณะเดียวกันยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานและการบริหารจัดการความเสี่ยงในอนาคต ดังนั้น การให้ความสำคัญกับ ESG จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายหรือข้อกำหนดที่มีอยู่ แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมสร้างการเติบโตในระยะยาวและรักษาภาพลักษณ์ของธุรกิจในยุคที่ผู้บริโภคและนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น.